พระสูตรว่าด้วยความสุขและความเป็นหนุ่มสาว
- Thai Plum Village

- 12 ก.พ.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 19 มิ.ย.
พระสูตรว่าด้วยความสุขและความเป็นหนุ่มสาว
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินคำสอนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังคงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน ใกล้เมืองราชคฤห์ ณ ขณะ นั้นได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งชอบตื่นมาแต่เช้าทุก ๆ วัน ท่านเดินไปริมฝั่งแม่น้ำท่านปลดจีวรของท่านไว้บนฝั่งและลงไปสรงน้ำ หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้วท่านขึ้นจากแม่น้ำ รอจนกระทั่งร่างกายของท่านแห้ง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เทพธิดาได้ปรากฏกายขึ้น ร่างกายของเธอล้อมรอบไปด้วยแสงสว่างไสวฉาดฉายไปทั่วฝั่งแม่น้ำ และเทพธิดานั้นได้กล่าวกับพระภิกษุว่า “ท่านเพิ่งจะเป็นพระภิกษุมาไม่นาน ผมของท่านยังเป็นสีดำ ท่านเป็น หนุ่ม อายุยังน้อย ในช่วงเวลา อายุขณะนี้ ทำไมท่านจึงไม่ ประดับ ประดาตัวท่านด้วยเครื่องหอม เพชร พลอย และรื่นรมย์ใน รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส ทำไมจึงได้ละทิ้งคนรัก และหันหลังให้กับชีวิตทางโลกอย่างโดดเดี่ยว ท่านได้ปลงผม โกนหนวด นุ่งห่มจีวร และศรัทธา ในวิถีการ ปฏิบัติแบบนักบวช? ทำไมท่านถึงได้ละทิ้งความสุขทางโลกในปัจจุบัน เพื่อที่จะหาความสุขเบิกบานอันไม่สมกับเวลาเช่นนี้?”
พระภิกษุรูปนั้นตอบว่า “อาตมามิได้ละทิ้งความสุขในปัจจุบันขณะ เพื่อที่จะหาความสุขความยินดีในอนาคตอันยาวไกล อาตมาได้ละทิ้งความสุขความยินดีอันไม่สมกับเวลา มาค้นพบความสุขในปัจจุบันขณะต่างหากเล่า”
เทพธิดาได้ถามขึ้นอีกว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
พระภิกษุรูปนั้นได้ตอบว่า “พระพุทธองค์ได้ทรงสอนว่า ความสุขทางโลกที่เปี่ยมไปด้วยความอยากเป็นความสุขที่มีความหอมหวานเพียงเล็กน้อย แต่มีความขมขื่นมหาศาล มีประโยชน์น้อยนิด แต่จะนำพาเราไปสู่ความหายนะ ในขณะนี้เราได้ดำรงอยู่ในพระธรรมซึ่งสามารถหาพบได้ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ได้หลีกไกลจากไฟแห่งกิเลสที่คอยแผดเผา พระธรรมนั้น เกิดขึ้นได้เฉพาะในปัจจุบันขณะและอยู่นอกเหนือกาลเวลา เชื้อเชิญเราให้เข้ามาและเห็นได้ด้วยตัวเองเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ เข้าใจ มีประสบการณ์ด้วยตนเองตามแต่ละบุคคล นั่นคือความหมายของการละทิ้งความสุขทางโลก อันไม่สมกับเวลา เพื่อที่จะเข้าหาความสุขสงบอันลึกซึ้งของปัจจุบันขณะ”
เทพธิดาได้ถามพระภิกษุอีกว่า “ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวว่าความสุขทางรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส อันมีไม่จำกัดนี้ จึงมีความหอมหวานเพียงเล็กน้อยและมีความขมขื่นมหาศาล มีประโยชน์น้อยนิด แต่จะนำพาเราไปสู่ความหายนะ? ทำไมพระพุทธองค์ถึงกล่าวว่า ถ้าเราดำรงอยู่ในพระธรรมซึ่งสามารถหาได้ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจะสามารถตัดไฟแห่งกิเลสที่เผาผลาญตัวเรา? ทำไมพระพุทธองค์ถึงกล่าวว่า พระธรรมนั้นเกิดขึ้นได้เฉพาะใน ปัจจุบันขณะ อยู่นอกเหนือกาลเวลา เชื้อเชิญเราให้เข้ามา และเห็นได้ด้วย ตัวเองเสมอ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ เข้าใจ มีประสบการณ์ ด้วยตนเองตามแต่ละบุคคล?”
พระภิกษุได้ตอบว่า “อาตมาบวชมาเพียงไม่กี่ปี ไม่มีทักษะในการอธิบายให้เธอได้เข้าใจถึงคำสอนที่แท้จริง และพระวินัยอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ พระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ในป่าไผ่ใกล้ๆ นี้ ทำไมเธอไม่เดินทางไปพบและถามพระพุทธองค์ด้วยตัวของเธอเอง พระตถาคตจะให้ข้อธรรมะที่ถูกต้อง และเธอก็จะได้ฝึกปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์”
เทพธิดาได้ตอบพระภิกษุว่า “ในขณะนี้ พระตถาคตรอบล้อมไปด้วยพลังของเหล่าเทพยดาทั้งหลายที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง เป็นสิ่งยากมากสำหรับตัวฉันเองที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดและถามคำถามเกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอน ถ้าท่านสามารถที่จะถามคำถามเหล่านี้ แทนตัวฉัน ฉันก็จะไปกับท่านด้วย”
พระภิกษุตอบ “อาตมาจะช่วยเหลือเธอ”
เทพธิดาตอบว่า “พระคุณเจ้า ฉันจะติดตามท่านไป”
พระภิกษุได้เดินทางไปสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ และ ได้ก้มกราบ สัมผัสพื้นดินต่อหน้าพระพุทธองค์ ถอยออกมาเล็กน้อย และนั่งลงอยู่ ด้านข้างพระพุทธองค์ พระภิกษุได้บอกเล่าเกี่ยวกับคำสนทนาที่ท่านได้คุยกับเทพธิดา และกล่าวขึ้นว่า “พระพุทธองค์ ถ้าเทพธิดาตนนี้พูดด้วยความไม่จริงใจ เทพธิดารูปนี้ ก็จะไม่อยู่กับ ข้าพระองค์ด้วย ณ ที่นี้” และในขณะนั้นก็มีเสียงมาจากที่ไกลแสนไกลดังขึ้นว่า “พระคุณเจ้า ฉัน อยู่ นี่ ฉันอยู่นี่”
ในทันทีทันใดนั้น พระพุทธองค์ ก็ได้มอบคาถานี้
“เมื่อเราได้สร้างความคิดเห็นที่ผิดเกี่ยวกับวัตถุที่เราปรารถนา
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราถูกยึดติดในความปรารถนานั้น
เพราะว่าบุคคลนั้นไม่รู้ว่า ความปรารถนาที่แท้จริงนั้นคืออะไร
และเขาก็ได้เดินทางต่อไปในหนทางแห่งความตาย”
พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า “เธอเข้าใจในคาถานี้ไหมถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา”
เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจพระภควันต์
หม่อมฉันไม่เข้าใจพระสุคตเจ้า”
พระพุทธองค์ ได้กล่าวคาถาอีกบทหนึ่งแก่เทพธิดา
“เมื่อเธอรู้ดีถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความอยาก
จิตใจแห่งความ อยาก ก็จะไม่เกิดขึ้น
เมื่อเธอ ไม่มีความอยาก และไม่มีความคิดเห็นเกิดขึ้นบนความอยากนั้น
ในขณะนั้น ก็จะไม่มีใครสามารถมาล่อลวง เย้ายวนเธอได้”
พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า “เธอเข้าใจในคาถานี้ไหมถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา”
เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจพระภควันต์
หม่อมฉันไม่เข้าใจพระสุคตเจ้า”
พระพุทธองค์ได้กล่าวคาถาอีกบท หนึ่งแก่เทพธิดา
“ถ้าเธอคิดว่า เธอยิ่งใหญ่กว่า ต่ำต้อยกว่า หรือเท่าเทียมกับคนอื่น
เธอก็จะเกิดความเปรียบเทียบ
เมื่อเธอสามารถตัดปมทั้งสามนี้ได้
เธอจะ ได้พบความสุขสงบในจิต”
พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสถามเทพธิดา ตนนั้นว่า “เธอเข้าใจในคาถานี้ไหมถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา”
เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจพระภควันต์
หม่อมฉันไม่เข้าใจพระสุคตเจ้า”
พระพุทธองค์ได้กล่าวคาถาอีกบท หนึ่งแก่เทพธิดาว่า
“เมื่อดับสิ้นซึ่งความอยาก ข้ามพ้นซึ่งปมทั้งสาม จิตของเราจะนิ่งสงบ
เราจะหมดความต้องการที่จะไขว่ คว้า อยากได้หามาอีก
เราจะ ละ วาง ซึ่งกิเลส และความเศร้า ความ เสียใจ ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า”
พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทพธิดาตนนั้นว่า “เธอเข้าใจในคาถานี้ไหม
ถ้าไม่เข้าใจได้โปรดตอบมา”
เทพธิดาได้ตอบพระพุทธองค์ว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วพระภควันต์
หม่อมฉันเข้าใจแล้วพระสุคตเจ้า”
พระพุทธองค์ได้จบสิ้นการสั่งสอน เทพธิดาเปี่ยมไปด้วยความ ปิติยิน ดี ในสิ่งที่เธอได้รับฟังและปฏิบัติตาม คำสอนเหล่านั้น เธอได้อันตรธานหายไป และ ไม่มีผู้ใดเห็นเธออีกเลย
จาก สมิทธิสูตร สังยุกตอาคมะ ๑๐๘๗ ไตโช พระไตรปิฎกจีน เทียบเคียงได้กับ สมิทธิสูตรสังยุตตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎกบาลี




