Dear friends, This content is available only on Thai language.
เจคอบ บาวลี่ : เขียน ประเสริฐ ตันพิพัฒน์ - จิตต์วิโมกข์ : แปล
ผมถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกันในช่วงฤดูร้อน ของปี 2542 ตอนนั้นผมอายุ ยี่สิบปี ผมรู้สึกตัวว่า ผมถูกจองจำในคุกแห่งความกลัวในใจของตัวเอง มากกว่ากำแพงคุกหนาๆ ที่ล้อมรอบตัวผมอยู่เสียอีก ตอนที่อยู่นอกคุก ผมมียาเสพติดและเหล้าเป็นผู้ช่วยให้ผมพอหลอกตัวเองได้ว่า ผมสามารถ ควบคุมจิตใจตัวเองท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วได้ เมื่ออยู่ในคุก ผมก็ได้รู้ว่า บังเหียนชีวิตนั้น ไม่เคยอยู่ในมือผมจริงๆ เลย ผมไม่รู้วิธีที่จะควบคุมตัวเอง แม้เพียงพยายามที่จะหยุด หรืออย่างน้อยทำตัวเองให้ช้าลง มันทำให้ผม พบกับความจริงที่แสนขมขื่นว่า โลกนั้นไม่ได้เป็นดั่งใจผมเลย นับวัน ความผิดหวังนี้ยิ่งหนักหนาเกินกว่าจะรับมือไหว ผมจึงหลับตาลงด้วยความโกรธ ก่อนเดือดดาลใส่โลกทั้งโลก เพื่อให้จำนนต่อความสะใจอย่างไม่หยุดยั้ง
ในช่วงต้นปี 2544 ทางศูนย์กักกันเริ่มไม่พอใจกับวิธีการสนองความพอใจตัวเองของผม ตอนนั้นผมรู้ว่าผมจะถูกขังเดี่ยวอีก สักห้าถึงหกเดือนเท่านั้น ผมจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง และนั่นทำให้ผมสร้างปัญหาให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงจุดที่พวกเขาบอกกับผมว่า ผมต้องอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกสามปี ปาร์ตี้ของผมจบลงแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ผมรู้สึกได้ถึงความโกรธที่ค่อยๆ ซึมผ่านตัวผมออกมาอย่างช้าๆ มันสั่นสะท้านทุกอณูเซลล์ทั่วร่างของผม และทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว เราต่างมองหน้ากันและกัน ...ความโกรธและตัวผม... ผมรู้ตัวดีว่า มันกำลังทำลายผม
ในขณะที่ผมกำลังตกอยู่ในนรกของตัวเองนั้น ผมมีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา แปลกเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโต้แย้งกับคำสอนเหล่านั้น ผมกลับจนมุมในทุกกรณี สิ่งที่ผมได้อ่านล้วนเป็นเรื่องของสามัญสำนึกปกติทั้งสิ้น
ความจริงที่บาดใจ
ผมอ่านพบว่าชีวิตนั้นมีทุกข์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นประโยคที่ตบหน้าฉาด แต่มันก็อยู่ต่อหน้าผม ตัวหนังสือสีดำที่ผมก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ นี่ไม่ใช่การคาดเดาทางปรัชญาหรือข้อพิสูจน์ทางทฤษฎีใดๆ แต่มันเป็นอะไรที่บาดใจผมเหลือเกิน ผมอยู่กับความทุกข์มาตลอดชีวิต คนรอบๆ ตัวผมก็เช่นเดียวกัน
ผมอ่านพบว่าความทุกข์นั้นมีเหตุ และเหตุนั้นไม่ได้ดำรงอยู่ในโลกภายนอก หากแต่ดำรงอยู่ภายในใจของเรานี่เอง มันคืออวิชชา และการยึดมั่น ทว่าความทุกข์ไม่ใช่มาจากโลกภายนอกหรือ? ตรงนี้แหละที่ดึงความสนใจของผมไปเต็มๆ ด้วยความเข้าใจผิด ผมเคย ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลพยายามดัดโลกให้เป็นดั่งใจเรา แต่แค่เราเปลี่ยนตัวเอง โลกก็เปลี่ยนแล้ว นั้นเป็นไปได้จริงหรือ? ความหวังที่จะ วางภาระทางใจต่างๆ ลงนี่เอง ที่ทำให้ผมมีความกล้าหาญพอที่จะรู้ว่า ภาระที่เคยแบกไว้ในใจนั้นมากมายขนาดไหน
ผมอ่านต่อไปว่า เราสามารถที่จะวางภาระต่างๆ ของเราลงได้ ถ้าต้นเหตุของทุกข์ไม่มี ความทุกข์ย่อมไม่มีเช่นกัน
ท้ายสุดผมอ่านพบว่า มันมีหนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ นั่นทำให้ผมต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหนทางสายนี้
ตลอดช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงนั้น ผมใช้เวลาอยู่กับปรัชญาตะวันออกที่สดใหม่และน่าตื่นเต้น เรื่องราวของความเมตตากรุณา อีกทั้งขั้นตอนต่างๆ ของหนทางสู่ความตื่นรู้ ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจไปกับปัญญาที่ลุ่มลึกแต่เข้าใจง่ายของคำสอนเหล่านี้ ผมทุ่มเททั้งใจ เพื่อให้ซึมซาบถึงคุณงามความดีของคำสอนทั้งหลาย ในที่สุดผมก็เริ่มสัมผัสถึงพลังความเยียวยาและอิสรภาพ ในความกรุณาและ ความรัก
ทางศูนย์กักกันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยน แปลงในทางที่ดีของผม และยินยอมให้ผม ได้กลับไปอยู่ที่ขังรวมเร็วขึ้นกว่ากำหนด นั่นคือเดือนพฤศจิกายน 2544 ถึงแม้ว่า ผมจะ รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกจากการถูกขังแยก ผมกลับรู้สึกหวาดกลัว เพราะบททดสอบที่ แท้จริงถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจะมาถึง เมื่อผมได้กลับไปอยู่ รวมกับเพื่อนๆ ผมก้าวออกมาด้วยความตั้งใจที่เข้มแข็ง แต่กลับอ่อนแอที่จะรู้ซึ้งถึง ความสำคัญของการปฏิบัติ ผมมีแนวความคิดใหม่อยู่เต็มหัว แต่ไม่สามารถรักษาการ ปฏิบัติหรือศึกษาเพิ่มเติมได้อีกต่อไป ไม่เหมือนช่วงขังเดี่ยวในปีที่แล้ว ช่วงเวลานั้น ทำให้ชีวิตผมสมบูรณ์และมีชีวิตชีวา
ผู้ให้การสนับสนุนบำบัดการใช้ยาเสพติดนิรนาม ชื่อ ไทรอน กล่าวว่า "คุณไม่อาจ คิดเอาเองว่ากำลังทำดี แต่คุณต้องลงมือปฏิบัติตามความคิดดีนั้น" ผมมัวแต่คิดเอาว่า ตัวเองคิดดีและมีความตั้งใจที่ดี แต่นั่นมันแค่ในสมองของผม วิธีการใช้ชีวิตของผม ทำให้จิตใจผมหยาบกระด้าง โดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นตัวเอง อิสรภาพของผมค่อยๆ สูญเสียไป จนกระทั่งผมก่อเรื่องวิวาท เพราะมีคนตั้งชื่อแปลกๆ ให้ผม มันน่าขมขื่น ที่พบว่าตัวเองกลับคืนสู่โลกของความโกรธเดือดดาลเช่นเดิม ถึงตอนนี้ความปวดร้าวของคุกแห่งความโกรธนั้นบาดลึกยิ่งกว่าเคย จนผมรับรู้รสชาติของความสงบสุขได้น้อยมาก
Comments