top of page

การฝึกปฏิบัติพื้นฐาน

Calligraphy_TY_mindfulness.png

ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างมีสติ

ติช นัท ฮันห์ เป็นผู้ริเริ่ม
นำการฝึกสติมาสู่ตะวันตก
ตั้งแต่ ต้นปี ค.ศ.1970s พัฒนาหนทางใหม่
ในการประยุกต์ปัญญาอันเก่าแก่
มาสู่ความท้าทายในยุคปัจจุบัน

สติเป็นพลังแห่งความตระหนักรู้ และรู้สึกตัวทั่วพร้อมใน เป็นการเฝ้ามองอย่างลึกซึ้งในทุกขณะของ
ชีวิตประจำวัน การดำรงสติเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างแท้จริง ดำรงอยู่ กับปัจจุบันขณะและกับทุกสิ่ง
ที่รายล้อมเรา รวมทั้งกับสิ่งที่เรากำลัง ทำอยู่ เราสามารถน้อมนำกายและจิตให้ผสานสอดคล้องในขณะที่เรา
ล้างจาน ขับรถ หรืออาบน้ำยามเช้า

 

ในหมู่บ้านพลัม เราทำกิจวัตรต่าง ๆ เหมือนกับที่เราอยู่กับบ้าน เช่น เดิน นั่ง ทำงาน รับประทานอาหาร เป็นต้น
ซึ่งเราเรียนรู้ที่จะ ทำกิจวัตรต่าง ๆ ด้วยลมหายใจแห่งสติ ด้วยการตระหนักรู้ในทุกขณะ เราฝึกสติทุก ๆ ขณะ
ตลอดทั้งวัน ไม่เพียงแต่ในห้องปฏิบัติสมาธิ ภาวนาเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติในครัว ในห้องน้ำ ในห้องพัก และระหว่าง
ทางเดินด้วย

 

ในการฝึกปฏิบัติร่วมกันในสังฆะซึ่งเป็นชุมชนของผู้ฝึกปฏิบัติที่ อยู่ร่วมกัน การฝึกสติของเราจะนำมา
ซึ่งความเบิกบาน ผ่อนคลายและ มั่นคง เราเป็นระฆังแห่งสติแก่กันและกัน ช่วยเหลือและตักเตือนซึ่งกันและกัน
ด้วยความช่วยเหลือของชุมชนตลอดช่วงการฝึกปฏิบัติ ทำให้ เราสามารถฝึกบ่มเพาะความสงบและเบิกบานจากภายในและรอบตัวของเรา ประดุจของขวัญสำหรับทุกคนที่เรารักและห่วงใย เราสามารถ บ่มเพาะความมั่นคง
และอิสรภาพ มั่นคงในความปรารถนาอันยิ่ง และ เป็นอิสระจากความกลัว ความเข้าใจผิด และความทุกข์ทรมาน
ทั้งปวง

 

เพื่อนที่รักทั้งหลาย ขอให้เรามีความสามารถ และชาญฉลาด ในการฝึกปฏิบัติ เข้าสู่ทุกย่างก้าวของการปฏิบัติด้วยความกระหาย ใคร่รู้และเต็มไปด้วยสัมผัสแห่งการแสวงหา ขอให้เราฝึกปฏิบัติด้วย ความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่
แบบแผนและสิ่งที่ปรากฏเห็น ขอให้มี ความเบิกบานในการฝึกปฏิบัติด้วยความผ่อนคลายและอ่อนโยน
พร้อมใจที่เปิดกว้าง

ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างมีสติ

ติช นัท ฮันห์ เป็นผู้บุกเบิก การนำการมีสติมาสู่โลกตะวันตก ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ ใน การใช้ภูมิปัญญาโบราณ  กับความท้าทายของชีวิตสมัยใหม่

หายใจ

หายใจ

การหายใจเป็นพื้นฐานของชีวิต ช่วยให้ร่างกายดำรงอยู่และยังช่วยสงบอารมณ์ความคิดภายในจิตใจด้วย

การหายใจเข้า-ออก อย่างมีสติ เป็นกุญแจสำคัญในการประสานกายและจิตให้เป็นหนึ่ง

และเป็นเครื่องมือสำคัญที่เรียบง่ายที่สุด ที่นำมาซึ่งพลังแห่งสติในทุก ๆ ขณะของชีวิต

 

    o ในพระสูตรว่าด้วยลมหายใจ (อานาปานสติสูตร) สอนเราในข้อแรกว่า

             หายใจเข้า ฉันรู้ว่า ฉันหายใจเข้า

             หายใจออก ฉันรู้ว่า ฉันหายใจออก

    o เราสัมผัสลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่บังคับลมหายใจ

การหยุดและกลับมาสู่ลมหายใจ จะช่วยให้เราฟื้นฟูความสงบและสันติภายใน ด้วยความเป็นอิสระนี้

เราจึงสามารถทำงานด้วยความเบิกบาน อยู่กับสถานการณ์และเพื่อนตรงหน้าได้อย่างจริงแท้มากขึ้น

เราสามารถใช้เสียงของโทรศัพท์ เสียงระฆังจากโบสถ์ เสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว เสียงร้องของเด็ก

หรือแม้กระทั่งเสียงดังของเครื่องยนต์ เสียงหวอของรถดังเพลิง และเสียงหวอของรถฉุกเฉิน

เป็นเสียงระฆังแห่งสติของเราได้ทั้งนั้น

ฟังเสียงระฆัง

ฟังเสียงระฆัง

เสียงระฆัง เป็นดั่งเสียงแห่งพระพุทธองค์ เรียกเรากลับมามีสติ ดึงใจกลับสู่กายของเรา

ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระฆัง ทุกคนจะหยุดพูดคุยกัน หยุดการเคลื่อนไหว
และหยุดทุกสิ่งที่เรากำลังทำ รวมทั้งความคิดในหัวสมอง
และกลับมาตามลมหายใจเข้า-ออก ผ่อนคลายร่างกาย

“ฟังสิ ฟังสิ เสียงระฆังอันประเสริฐ

นำมาฉันกลับมาสู่บ้านที่แท้จริง”

Brother_Store_7.JPG

เดินในวิถีแห่งสติ

เดินในวิถีแห่งสติ

การเดินในวิถีแห่งสติ เป็นการฝึกปฏิบัติที่เรียบง่ายมาก   เดินเพื่อเดิน เดินโดยไม่ต้องการไปถึงที่ไหน "ทุกย่างก้าวเรามาถึงแล้ว"  การเดินในลักษณะนี้ ไม่ควรกระทำให้พิเศษกว่าปกติ เราควรที่จะทำในทุกๆ ขณะ  เมื่อมองไปรอบตัว เราจะเห็นความกว้างของชีวิต ต้นไม้ หมู่เมฆสีขาว  ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ไม่มีขีดจำกัด ฟังเสียงนกร้อง สัมผัสถึงความสดชื่นของลมรำเพยที่พัดผ่าน. ชีวิตคือทุกสิ่งรายล้อมเรา เรามีชีวิตที่เปี่ยมพลัง มีสุขภาพดี และสามารถมีสันติภาพในทุกย่างก้าว

ก้าวย่าง อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เร็ว ไม่ช้า เกินไป ประสานลมหายใจ ให้สอดคล้องกลมกลืน กับย่างก้าวเดิน เช่น หายใจเข้า 3 ก้าว , ออก 4 ก้าว แล้วแต่ขนาดปอดของแต่ละคน

เราอาจท่องบทกลอนด้วยก็ได้ เช่น  "ไม่มีหนทางไปสู่ความสุข ความสุขคือหนทาง"

"ลูกกำลังเดินเพื่อพ่อ ลูกกำลังหายใจเพื่อแม่"

"ฉันได้กลับมา มาถึงบ้านแล้ว"

ปล่อยความคิดทิ้งไปกับพื้นดิน ปล่อยวางความโกรธ กลัว กังวล หรือเสียใจ

 

ทุกขณะที่ย่างก้าวไปที่ใดก็ตาม นั่นคือโอกาสฝึกเดินในวิถีแห่งสติ

นั่งในวิถีแห่งสติ

นั่งในวิถีแห่งสติ

การนั่งในวิถีแห่งสติ เหมือนการกลับบ้านเพื่อใส่ใจและดูแลตัวเอง. เหมือนพระพุทธรูปบนแท่นบูชา ที่ฉายความสงบสันติแห่งพระพุทธเจ้า เราสามารถฉายความสงบและมั่นคงออกไปได้เช่นกัน

นั่งหลังตรง มั่นคง และ ผ่อนคลาย เบาสบาย ไม่เกร็ง

    หายใจเข้า ฉันรู้ว่า ฉันหายใจเข้า

    หายใจออก ฉันรู้ว่า ฉันหายใจออก

            เข้า – ออก

    หายใจเข้า ฉันเห็นตัวฉันเอง เป็นดังดอกไม้

    หายใจออก ฉันรู้สึกสดชื่น

    เข้า ดอกไม้ – ออก สดชื่น

          การนั่งสมาธินั้นเป็นโอกาสดีในการบำบัดเยียวยา เราตระหนักรู้ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ ความโกรธ ความเจ็บปวด และความขุ่นเคือง หรือ ความเบิกบาน ความรัก และสันติภาพ ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งดีใจหรือเสียใจ เราอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้โดยไม่หลงใหลเคลิบเคลิ้มไป หรือผลักไส กดดัน หรือแสร้งทำว่าความคิดเหล่านั้นไม่มีอยู่   เราเฝ้าสังเกตความคิดด้วยการยอมรับ และด้วยดวงตาแห่งความกรุณา   แม้ว่าจะเกิดพายุร้ายขึ้นในใจ เราก็สามารถที่จะเป็นอิสระและมั่นคงได้

นั่ง ในความมั่นคง และเบิกบานในขณะนั้น ด้วยความตระรู้ในลมหายใจ

Thai_Facebook_7.jpg

รับประทานอาหารในวิถีแห่งสติ

รับประทานอาหารในวิถีแห่งสติ

การรับประทานอาหารอย่างมีสติ เป็นการฝึกสมาธิที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง เรามอบการดำรงอยู่ของเราต่ออาหารทุกมื้อ เมื่อเราตักอาหารเราก็เริ่มต้นการฝึก  ฝึกตระหนักถึงธาตุต่างๆ เช่น สายฝน แสงแดด ผืนแผ่นดิน อากาศ และความรัก ที่มาประกอบรวมกันเป็นอาหารอันมหัศจรรย์มื้อนี้ จากอาหารมื้อหนึ่ง เราสามารถมองเห็นถึงจักรวาลทั้งมวลที่เกื้อหนุนการดำรงอยู่ของเรา

 

         เราตระหนักถึงเพื่อนๆ ในสังฆะเมื่อตักอาหาร เราตักในปริมาณพอดี ก่อนรับประทาน ระฆังแห่งสติจะถูกเชิญสามครั้ง เราสามารถเบิกบานกับการหายใจเข้าออกด้วยคำอธิษฐาน 5 ประการ

 

1  อาหารนี้เป็นของกำนัลแห่งจักรวาล พื้นดิน ท้องฟ้า สรรพชีวิต และการทำงานหนัก
    ด้วยความรัก ความเอาใจใส่

2  ขอให้เรารับประทานอาหารอย่างมีสติ และด้วยความระลึกรู้บุญคุณ เพื่อให้เรามีคุณค่าเพียงพอที่จะรับอาหารนี้

         3  ขอให้เราตระหนักรู้ และเปลี่ยนแปรสภาพจิตที่ไม่ก่อประโยชน์ โดยเฉพาะความโลภ

         4  ขอให้เราถนอมรักษาความเมตตากรุณาให้คงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารในวิธีที่จะสามารถลดทอนความทุกข์ของสรรพชีวิต ถนอมรักษาโลกของเรา และช่วยยับยั้งสภาวะโลกร้อน

         5  เราย่อมรับอาหารนี้ เพื่อที่เราจะได้บำรุงรักษาความรักฉันท์พี่น้องสร้างสังฆะ และหล่อเลี้ยงอุดมคติ แห่งการรับใช้สรรพชีวิต

         เราควรเคี้ยวอาหารจนกระทั่งอาหารละเอียด ซึ่งช่วยเหลือระบบย่อยอาหาร  และเบิกบานกับการรับประทานร่วมกันของกัลยาณมิตร การรับประทานอาหารด้วยวิธีนี้นั้นช่วยให้เรามีความสงบ สันติ และมั่นคง

 

         เราจะรับประทานอาหารในความเงียบประมาณ 20 นาที เพื่ออยู่ตรงนั่นอย่างเต็มเปี่ยมกับอาหารที่รับประทาน หลังจากนั้น เมื่อเสียงระฆังแห่งสติ 2 ครั้งดังขึ้น เราอาจจะเริ่มพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือเริ่มลุกจากโต๊ะเพื่อไปล้างภาชนะ

 

         หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เราจะใช้เวลาสักครู่หนึ่งเฝ้าสังเกตว่า เรารับประทานอาหาร เสร็จแล้ว ขณะนี้ชามของเราว่างเปล่า และความหิวได้ถูกระงับไปแล้ว เราสำนึกถึงบุญคุณว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้มีอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกาย ช่วยสนับสนุนเราบนหนทางแห่งความรัก และความเข้าใจ

ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์

ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์

นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่จะช่วยชี้แนะว่า ผู้ฝึกปฏิบัติจะเข้าสู่การผ่อนคลายในระดับลึกได้อย่างไร การให้ร่างกายได้พักนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เมื่อร่างกายได้พักและผ่อนคลาย จิตใจของเธอย่อมจะสงบลงด้วย การผ่อนคลายในระดับลึก
เป็นหัวใจสำคัญของการเยียวยากายและจิต ขอให้ใช้เวลาหมั่น ฝึกบ่อยๆ ถึงคำแนะนำต่อไปนี้ อาจต้องใช้เวลา
ในการปฏิบัติ 10 นาที แต่เธอก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ของตนเองได้ จะลดเวลาลง
เหลือเพียงแค่ 5-10 นาที ในเวลาตื่นนอนตอนเช้า ก่อนเข้านอนตอนค่ำ หรือระหว่างช่วงพักสั้น ๆ
ในตอนกลางวันที่มีธุระยุ่ง หรือ จะยืดเวลาให้ยาวขึ้นและลงลึกยิ่งขึ้นก็ได้ แต่ที่สำคัญสุดคือต้องดื่มด่ำไปกับการปฏิบัติ

 นอนราบสบายๆ ลงกับพื้นหรือเตียง หลับตาลง วางแขนทั้งสองอย่างสบายๆ ไว้ข้างลำตัว ให้ขาผ่อนคลาย ปลายเท้าแยกออกจากกันเล็กน้อย

 

          ขณะหายใจเข้า-ออก ขอให้ระลึกรู้ถึงร่างกายทั้งหมดที่นอนราบลง รู้สึกถึงร่างกายทุกส่วนที่สัมผัสพื้นหรือเตียง ไม่ว่าจะเป็นส้นเท้า ขา สะโพก แผ่นหลัง แขน หลังมือ ตลอดจนศีรษะด้านหลัง แต่ละครั้งที่หายใจออก ให้รู้สึกว่าตัวเองจมดิ่งลึกลงไปในพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยวางความเครียด ความกังวลทั้งหลายทั้งปวง ไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้

          หายใจเข้า ระลึกรู้ที่หัวใจ หายใจออก ให้หัวใจได้พัก แต่ละครั้งที่หายใจเข้า ส่งความรักไปยังหัวใจ แต่ละครั้งที่หายใจออก ยิ้มแย้มกับหัวใจ ขณะหายใจเข้า-ออก ให้รำลึกว่า ช่างมหัศจรรย์เพียงใดที่มีหัวใจซึ่งกำลังเต้นอยู่ในอก หัวใจทำให้เธอมีชีวิต มันอยู่เคียงข้างเธอทุกนาทีทุกวัน โดยไม่เคยหยุดพัก หัวใจของเธอเต้น นับตั้งแต่ที่เธอยังเป็นตัวอ่อนอยู่ในท้องแม่ได้สี่สัปดาห์ ช่างเป็นอวัยวะอันน่าอัศจรรย์ที่ทำให้เธอทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดวัน หายใจเข้าโดยระลึกรู้ว่า หัวใจก็รักเธอเช่นกัน หายใจออก พร้อมกับสัญญาจะดำเนินชีวิตในแบบที่หนุนเนื่องหัวใจให้ทำงานด้วยดี แต่ละครั้งที่หายใจออก ให้หัวใจรู้สึกผ่อนคลายยิ่งๆ ขึ้น ให้เซลล์ทุกเซลล์ในหัวใจได้ยิ้มอย่างผ่อนคลายและแช่มชื่น

          เธอจะผ่อนคลายส่วนอื่นๆ ของร่างกายต่อไป โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับข้างต้นก็ได้

          ตอนนี้ ถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายป่วยหรือเจ็บปวด ให้ใช้เวลาระลึกรู้ถึงส่วนนั้น แล้วส่งความรักไป หายใจเข้า ให้ส่วนนี้ได้พัก หายใจออก ยิ้มให้กับมันด้วยความรักความปรารถนาดีอย่างยิ่งยวด ระลึกรู้ว่ามีส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ ให้ส่วนที่แข็งแรงเหล่านั้น ส่งพละกำลังมายังส่วนที่อ่อนแอหรือเจ็บป่วย ให้รู้สึกว่ามีพลังความรักความเกื้อหนุนจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แผ่ซ่านเข้ามาช่วยบรรเทาและเยียวยาบริเวณที่อ่อนแอนี้  หายใจเข้า โดยเชื่อมั่นในความสามารถที่จะเยียวยาของตนเอง หายใจออก พร้อมกับปล่อยความความวิตกกังวล หรือความกลัวที่อาจเกาะกุมอยู่ในตัวออกมา  หายใจเข้า-ออก ยิ้มให้แก่ร่างกายส่วนที่ไม่สบาย ด้วยความรักความเชื่อมั่น

 

          สุดท้าย ให้หายใจเข้า รู้ตัวทั่วพร้อมร่างกายทั้งหมดที่ผ่อนคลาย หายใจออก ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกทั่วร่างกายซึ่งผ่อนคลายและสงบอย่างยิ่ง ยิ้มให้กับร่างกายทั้งหมดขณะหายใจเข้า และส่งความรักความกรุณาไปถึงมันขณะหายใจออก ให้รู้สึกว่าเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกายกำลังยิ้มอยู่กับเธออย่างชื่นบาน และรู้สึกซาบซึ้งไปกับเซลล์ในร่างกาย กลับมายังท้องที่พอง-ยุบอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง

ถ้าเธอกำลังพูดนำคนอื่นอยู่ และรู้สึกสบายใจที่ได้ทำอย่างนั้นถึงตอนนี้อาจจะร้องเพลงเย็นๆ หรือเพลงกล่อมเด็กสักสองสามเพลงคลอตามไปด้วยก็ได้

 

          หลังจากนั้นให้ลืมตาขึ้นช้าๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยความสงบ ด้วยความสบายใจ จงรักษาความสงบ และพลังแห่งสติที่ได้บ่มเพาะนี้ไว้ ขณะที่ไปทำกิจกรรมอื่นต่อ รวมทั้งตลอดวันที่เหลือ

กราบสัมผัสผืนดิน

การฝึกปฏิบัติกราบสัมผัสพื้นดิน เป็นการกลับไปสู่ผืนแผ่นดิน รากเหง้า บรรพบุรุษของเรา และรับรู้ว่า
เรามิได้โดดเดี่ยว หากแต่เชื่อมต่อกับกระแสธารแห่งจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของบรรพบุรุษ
เราสืบสายมาจากท่าน ท่านเหล่านั้นยังอยู่กับเราและสืบสายต่อไปยังลูกหลานของเราด้วย

เราสัมผัสพื้นดินเพื่อปลดปล่อยความคิดที่แยกขาดเราออกจากสรรพสิ่ง และเพื่อเตือนตัวเองว่า
เรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของผืนแผ่นดินและเป็นส่วนหนึ่งของสรรพชีวิต

         เมื่อสัมผัสพื้นดิน เรารู้สึกถึงความนอบน้อมถ่อมตนและเรียบง่ายของเด็กตัวน้อยที่อยู่ข้างใน
เมื่อสัมผัสพื้นดิน เราสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ประดุจดังต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ ฝังรากหยั่งลึกดูดน้ำจากผืนแผ่นดิน
เราหายใจเอาความแข็งแกร่งและมั่นคงของผืนดินเข้าไป และนำความทุกข์ อารมณ์โกรธ เกลียด กลัว
ไม่รู้จักพอ และโศกเศร้าออกมา

         เราหันหน้าต่อพระรัตนตรัย อันประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มือของเราประสานกัน
พนมมือกลางอกดั่งดอกบัว ให้เราก้มตัวกราบลงกับพื้นอย่างช้าๆ ขณะนั้นแขนและขาทั้งสอง
รวมทั้งหน้าผากของเราสัมผัสพื้นดินอย่างผ่อนคลาย ในขณะที่เรากำลังสัมผัสพื้นดินอยู่นั้น ให้เราหงายมือขึ้น
เพื่อเป็นการเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีความลับอันใด ที่จะต้องปิดบัง
ภายหลังการปฏิบัติสัมผัสพื้นดินสามหรือห้าครั้ง เราจะสามารถปลดปล่อยความทุกข์ของเราได้อย่างมากมาย
ความรู้สึกเหินห่างกับบรรพบุรุษ พ่อ แม่ ลูก หลาน และเพื่อนของเรา ถูกเชื่อมร้อยให้กลับมาหากัน

 

บทกราบสัมผัสพื้นดิน ๕ ประการ

 

ครั้งที่ ๑

ด้วยสำนึกในบุญคุณ ลูกขอกราบคารวะบรรพบุรุษทุกท่าน ผู้เป็นครอบครัวทางสายเลือดของลูก

(เสียงระฆัง)

(กราบสัมผัสพื้นดิน)

 

ลูกเห็นพ่อและแม่ ผู้ที่เลือดเนื้อและพลังชีวิตของท่านสืบสาย หมุนเวียนอยู่ในสายเลือดของลูก อีกทั้งทะนุบำรุงหล่อเลี้ยงเซลล์ทุก เซลล์ในร่างกายลูก โดยผ่านเลือดเนื้อและพลังชีวิตของท่าน ลูกเห็น ปู่ย่าตายาย ผู้สืบทอดความหวัง ประสบการณ์และปัญญาของบรรพบุรุษ จากรุ่นแล้วรุ่นเล่า ลูกได้สืบต่อชีวิต เลือดเนื้อ ประสบการณ์ ปัญญา ความสุข และความโศกจากบรรพบุรุษทุกรุ่น ความทุกข์และธาตุทั้งหมด ที่ต้องแปรเปลี่ยนลูกกำลังปฏิบัติเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง ลูกขอเปิด หัวใจ เลือดเนื้อ และกระดูก ที่จะรับพลังแห่งญาณทัศนะ ความรัก, และประสบการณ์ที่บรรพบุรุษทั้งหลายได้ส่งทอดมาสู่ตัวลูก ลูกเห็นว่า ในตัวลูกนั้นมีรากเหง้าของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และบรรพบุรุษทุกท่านย อยู่ในตัวลูก
ลูกรู้ว่าลูกเป็นเพียงแต่การสืบเนื่องเชื้อสายบรรพบุรุษ ขอให้ท่านได้โปรดเกื้อกูล ปกปักรักษา และส่งทอดพลังมาสู่
ลูกด้วย ลูกรู้ว่าที่ไหนก็ตามที่มีลูกหลานของท่านอยู่ บรรพบุรุษก็อยู่ที่นั่นด้วย ลูกรู้ว่าท่านรักและเกื้อกูลลูกหลานของท่านเสมอ แม้ว่าพวกท่านจะไม่ อาจแสดงออกได้อย่างที่ใจท่านต้องการ ด้วยชีวิตของพวกท่านเองก็ต้อง ประสบกับความยากลำบาก ลูกรู้ว่าบรรพบุรุษของลูกได้พยายามที่จะ มีวิถีชีวิตที่ตั้งอยู่บนฐานของความกตัญญู ความเบิกบาน ความเชื่อมั่น ความเคารพ และความเมตตา ในฐานะที่ลูกเป็นผู้สืบต่อจากบรรพบุรุษ ลูกขอกราบคารวะสักการะ
อย่างลึกซึ้ง และขอรับเอาพลังของพวกท่าน ให้ไหลเวียนสู่ตัวลูก ขอบรรพบุรุษจงมอบหมายการเกื้อกูล สนับสนุน
การปกปักรักษา และเข้มแข็ง แก่ลูกด้วยเทอญ

(ตามลมหายใจ ๓ ครั้ง)

(เสียงระฆัง)

(ลุกขึ้น)

 

ครั้งที่ ๒

ด้วยสำนึกในบุญคุณ ลูกขอกราบคารวะบรรพบุรุษทุกท่านผู้ เป็นครอบครัวทางจิตวิญญาณของลูก

(เสียงระฆัง)

(กราบสัมผัสพื้นดิน)

 

ลูกเห็นครูในตัวของลูก ครูผู้ชี้แนะหนทางแห่งความรักความเข้าใจ วิธีการหายใจ การยิ้ม การให้อภัย และการอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างลึกซึ้ง มองผ่านครูของลูก ลูกเห็นครูทั้งหมดถ้วนทั่วทุกรุ่น พระโพธิสัตว์ถ้วนทั่ว ทุกพระองค์
และพระพุทธเจ้าศากยมุนี ผู้ทรงนำครอบครัว ชีวิตทาง จิตวิญญาณเมื่อ ๒,๖๐๐ ปีที่แล้ว ลูกเห็นองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัม พุทธเจ้าเป็นดังครูและบรรพบุรุษทางจิตวิญญาณของลูก ลูกเห็นถึง พลังทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าและครูทุกรุ่นจำนวนเหลือที่จะ ประมาณได้หลั่งไหลเข้าสู่ตัวลูก ลูกรู้ว่าพลังแห่งองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าได้แปรเปลี่ยนโลกนี้อย่างลึกซึ้ง หากไม่มีองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า บรรพบุรุษทางจิตวิญญาณ
ของลูกก็จะไม่รู้หนทาง ที่จะปฏิบัติเพื่อนำศานติ และความสุขให้กับชีวิตลูก ครอบครัวลูก และสังคมของลูก
ลูกขอเปิดหัวใจและร่างกายเพื่อที่จะรับพลังแห่งความเข้าใจ ความเมตตา และการปกป้องจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลูกขอบรรพบุรุษจงส่งทอดแหล่งพลังอันไม่มีที่สิ้นสุดของ ศานติ ความมั่นคง ความเข้าใจ และความรักมาสู่ลูกด้วย ลูกขอปวารณา ที่จะเปลี่ยนแปรความทุกข์ในตัวของลูกและของโลก และถ่ายทอดพลัง ของท่านสู่ผู้ปฏิบัติ
ในรุ่นอนาคต

(ตามลมหายใจ ๓ ครั้ง)

(เสียงระฆัง)

(ลุกขึ้น)

 

ครั้งที่ ๓

ด้วยสำนึกในบุญคุณ ลูกขอกราบคารวะต่อผืนแผ่นดินนี้ และ บรรพบุรุษผู้ก่อร่างสร้างผืนแผ่นดินนี้

(เสียงระฆัง)

(กราบสัมผัสพื้นดิน)

 

ลูกเห็นตัวลูกเปี่ยมบริบูรณ์และได้รับการทะนุบำรุงจากผืน แผ่นดินนี้ โดยสรรพชีวิตที่ได้อยู่อาศัยที่นี้มาแต่ดั้งเดิม
และโดย ความเพียรพยายามของพวกท่านที่ทำให้ลูกได้มีชีวิตที่สะดวกสบาย เอื้ออำนวยสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นจริงสำหรับลูก ลูกเห็นพ่อขุนรามคำแหง สมเด็จพระศรีสุริโยทัย นายปรีดี พนมยงค์ หลวงปู่มั่น ท่านพุทธทาส ท่านอาจารย์ชา คุณแม่เขาสวนหลวง เป็นต้น รวมทั้งผู้ที่เอ่ยนามและ มิได้เอ่ยนามทุกท่าน ลูกเห็นบุคคลทั้งหมดผู้ทำให้ประเทศนี้
เป็นถิ่นอาศัย ของหมู่ชน ต่างเพศ ผิวพรรณเห็นถึงความปรีชาสามารถ การทะนุบำรุงความ รักที่พวกท่านได้อุทิศตนทำงานหนัก เพื่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สะพาน และถนนหนทางเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีและความยุติธรรมในสังคม ลูกเห็นตัวลูกสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของแผ่นดิน ผู้อยู่อาศัย มาแต่ดั้งเดิม และรู้ที่จะอยู่อย่างสงบสันติเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดูแลรักษาภูเขา ต้นไม้ สัตว์ พืชพันธุ์ และแร่ธาตุของผืนแผ่นดิน ลูกรู้ถึงพลังของแผ่นดินที่เสียดแทรกอยู่ถ้วนทั่วทุกอณูของกายและ วิญญาณลูก เกื้อกูลและยอมรับลูก ลูกขอปวารณาที่จะบ่มเพาะและ ธำรงพลังอันนี้ และสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป ลูกขอปวารณาที่จะแบ่งปัน การแปรเปลี่ยนความรุนแรง ความเกลียดชัง และอวิชชาซึ่งยังคง นอนเนื่องอยู่ในจิตสำนึกร่วมของหมู่ชนในสังคม เพื่อว่าชนรุ่นอนาคตจะ ได้อยู่อย่างปลอดภัย เบิกบาน และมีศานติมากขึ้น ลูกขอผืนแผ่นดินนี้ จงได้เป็นถิ่นของการปกปักรักษา และการเกื้อกูลสนับสนุน

(ตามลมหายใจ ๓ ครั้ง)

(เสียงระฆัง)

(ลุกขึ้น)

 

ครั้งที่ ๔

ด้วยความกตัญญู และความการุณย์ ลูกขอกราบคารวะ และ ขอส่งพลังไปยังเหล่าบุคคลผู้เป็นที่รักของลูก 

 (เสียงระฆัง)

(กราบสัมผัสพื้นดิน)

พลังทั้งมวลที่ลูกได้รับนั้น ลูกใคร่ที่จะส่งต่อไปยังคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ที่เป็นที่รักของลูกทุกคน ผู้ทุกข์ร้อน และวิตกกังวลเพราะลูกและเพื่อ ประโยชน์ของลูก ลูกรู้ว่าลูกไม่มีสติเพียงพอในชีวิตประจำวัน ลูกรู้ว่า บุคคลที่รักลูกก็มีความทุกข์ของเขาเอง พวกเขาเป็นทุกข์เพราะว่าเขา ไม่โชคดีพอที่จะมีสภาพแวดล้อมที่จะเกื้อหนุนการพัฒนาอย่างเต็มที่
ลูกขอส่งพลังของลูกมอบแด่คุณแม่ คุณพ่อ พี่ชาย พี่สาว น้องชายน้องสาว ผู้ที่เป็นที่รักของลูก สามี ภรรยา ลูกสาว
ละลูกชาย เพื่อว่า ความเจ็บปวดของพวกเขาจะได้จางคลาย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยิ้ม และรู้สึกเบิกบานกับการมีชีวิตอยู่ ลูกปรารถนาให้พวกเขาทั้งหมดได้ มีสุขภาพดีและมีความเบิกบาน ลูกรู้ว่าเมื่อพวกเขามีความสุข ลูกก็จะมีความสุขด้วย ลูกหาได้มีความระคายใจต่อพวกเขาอีกต่อไป ลูกสวดมนต์ภาวนา ขอให้บรรพบุรุษผู้เป็นครอบครัวทั้งทางสายเลือด และทางจิตวิญญาณของลูกได้จดจ่อพลังงานอยู่กับพวกเขา เพื่อ ปกปักรักษาและเกื้อกูลสนับสนุนพวกเขา
ลูกรู้ว่าลูกมิได้แบ่งแยกจาก พวกเขา ลูกเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาผู้ที่ลูกรัก

(ตามลมหายใจ ๓ ครั้ง)

(เสียงระฆัง)

(ลุกขึ้น)

 

ครั้งที่ ๕

ด้วยความเข้าใจและความการุณย์ ลูกขอกราบคารวะ เพื่อที่ จะสมานรอยร้าวกับผู้ที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์

(เสียงระฆัง)

(กราบสัมผัสพื้นดิน)

 

ลูกเปิดหัวใจของลูก และขอส่งพลังแห่งความรัก และความเข้าใจ ไปยังทุกคนที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ที่ทำลายชีวิตของลูก และบุคคลที่ลูกรัก ลูกรู้ ณ บัดนี้ว่า พวกเขาทำให้ตัวเองต้องเผชิญกับทุกข์อันใหญ่หลวง และแบกภาระอันหนักอึ้งไว้ในหัวใจของพวกเขา ด้วยความเจ็บปวด โกรธชัง ลูกรู้ว่าทุกคนที่เป็นทุกข์อย่างนั้นจะทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ด้วย ลูกรู้ว่าพวกเขาโชคไม่ดี ไม่มีโอกาสที่จะได้รับความรักและการดูแล ทะนุถนอม ชีวิตและสังคมได้หยิบยื่นความยากลำบากอย่างมหันต์ให้พวกเขา พวกเขาถูกกระทำและถูกละเมิด พวกเขาไม่ได้รับการชี้แนะ ในหนทางของการอยู่อย่างมีสติ
พวกเขาได้สั่งสมทัศนะผิด ๆ เกี่ยวกับ ชีวิต เกี่ยวกับตัวลูกและเกี่ยวกับพวกเรา พวกเขาได้กระทำผิดต่อลูก
และบุคคลที่ลูกรัก ลูกขอสวดภาวนาต่อบรรพบุรุษผู้เป็นครอบครัวทาง สายเลือด ทางจิตวิญญาณของลูก ได้โปรด
ชี้ช่องต่อบุคคลผู้ทำให้พวกเรา เป็นทุกข์ ชี้ถึงพลังแห่งความรัก และการปกป้องคุ้มครอง เพื่อว่าหัวใจ ของพวกเขาจักสามารถรับเกสรของความรัก และเบ่งบานดังดอกไม้ ลูกขอสวดมนต์ภาวนาให้พวกเขาได้เปลี่ยนแปลง เพื่อว่าจะได้สัมผัส ความเบิกบานแห่งการดำรงอยู่ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่น ต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์ต่อไป
ลูกเห็นความทุกข์ของพวกเขา และลูก ไม่ต้องการที่จะเก็บความรู้สึกโกรธและเกลียดชังต่อพวกเขาอีกต่อไป
ลูกไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์อีก ลูกขอส่งมอบพลังแห่งความรัก และความเข้าใจไปยังพวกเขา และขอให้บรรพบุรุษทั้งหมดได้ช่วยเหลือ พวกเขาด้วยเทอญ

(ตามลมหายใจ ๓ ครั้ง)

(เสียงระฆัง)

(ลุกขึ้น)

กราบสัมผัสพื้นดิน
Thai_Facebook_10.jpg
bottom of page