Peace in Oneself, Peace in The world สู่ศานติสมานฉันท์Dear friends, This content is about Thay Dharma talk 23-27 May 2010 in ThailandThe content is only in Thai language.สรุปบรรยายธรรมและเนื้อหาจากงานภาวนา "สู่ศานติสมานฉันท์" 23-27 พฤษภาคม 2550 ณ ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ล้านนา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดย พรรัตน์ วชิราชัย ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอเรามักจะคิดมากเกินไปตลอดเวลา และส่วนใหญ่มักไม่เป็นประโยชน์นัก ความคิดของเราเต็มไปด้วยความกลัว หงุดหงิด ความโกรธ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องนอน เราไม่สามารถหลับได้ และเรามักหันไปพึ่งยานอนหลับ ความลับที่พระพุทธองค์หยิบยื่นให้เรา คือ "สติ" การกลับมา อยู่กับลมหายใจ และหยุดคิดเกี่ยวกับอดีตหรือนาคตการกลับมาตามลมหายใจเป็นการรวมใจและกายให้เป็นหนึ่งเดียวกันในปัจจุบันขณะ การดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะทำให้เรา สามารถสัมผัส "ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" เพราะชีวิตคือปัจจุบัน การมีสติอยู่เสมอจะทำให้เธอรู้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นใน ปัจจุบัน หากเธอคิดมากเกินไปเสมอ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เธอจะไม่มีความสามารถที่จะสัมผัสความงดงาม สดชื่นจากพระอาทิตย์ และธรรมชาติได้เราไม่จำเป็นต้องตายเสียก่อนจึงจะก้าวสู่อาณาจักรของพระพุทธเจ้าได้ หากแต่อยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ เราจะสามารถ สัมผัสกับดินแดนสุขาวดีหรือสรวงสวรรค์ได้ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นเสมอ 24 ชั่วโมง ดินแดนสุขาวดีหรือสรวงสวรรค์อยู่ตรงนั้นเสมอ 24 ชั่วโมงความสุขคือการตรัสรู้ เราไม่มีหนทางแห่งการตรัสรู้ แต่การตรัสรู้คือหนทาง วิถีแห่งการตรัสรู้เริ่มแรกคือ การมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเธอกำลังเดิน นั่ง หรือดื่มชา โปรดรู้ไว้ว่าการตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่มาจากการตรัสรู้เล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันขณะเราชินที่จะวิ่งอยู่เสมอ เราวิ่งเพราะเรามีความกลัว และเมื่อเราวิ่ง เราไม่สามารถจะดูและตัวเราและคนที่เรารักได้ เราวิ่ง เหมือนดั่งเช่นองคุลีมาล ที่วิ่งตามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์คือตรัสถามองคุลีมารว่า "เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากที่ไม่หยุด" การมาปฏิบัติภาวนาเช่นนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะหยุดภาวนากับก้อนกรวดที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส มีเด็กหลายคนจากหลายประเทศ มาร่วม ฝึกปฏิบัติด้วย วิธีที่พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ สอนการภาวนาให้กับ เด็กๆ คือ "ภาวนากับก้อนกรวด" เป็นวิธีการง่ายๆ ที่มีความสุข เริ่มจากเราควรมีถุงเล็กๆ สำหรับเก็บก้อนกรวด 4 ก้อน เมื่อเราต้องการทำสมาธิภาวนา ให้หยิบถุงนี้ขึ้นมา และนั่งล้อมกันเป็นวงกลม เด็กคนหนึ่งเป็นผู้เชิญระฆัง 3 ครั้ง เพื่อเชื้อเชิญให้เรา กลับมาสู่บ้านที่แท้จริงเมื่อเริ่มภาวนา เราหยิบ ก้อนกรวดก้อนแรก ขึ้นมา ประสานไว้ บนมือ พร้อมให้ก้อนกรวดก้อนนี้เป็นตัวแทนของ "ดอกไม้"หายใจเข้าหายใจออกฉันเป็นดั่งดอกไม้ฉันสดชื่น (ดอกไม้/สดชื่น)การภาวนาเช่นนี้เป็นการฟื้นฟูความสดชื่น แจ่มใส ความเป็นดอกไม้ ในตัวเรามนุษย์เองก็เป็นดอกไม้เช่นกัน เราเป็นดอกไม้แห่งมนุษยชาติ เด็กๆ ก็คือ ดอกไม้ พวกเขามีความสดชื่นอยู่เสมอ เราควรภาวนาดอกไม้ อยู่เสมอ เพราะมันจะช่วยรักษาความสดชื่นให้กับเรา และเราจะมีความ สามารถหยิบยื่นดอกไม้ ให้คนรอบข้างได้หลังจากภาวนาก้อนกรวดก้อนแรกเสร็จ เราวางก้อนกรวดก้อนนี้ลง พร้อมหยิบ ก้อนกรวดก้อนที่สอง ขึ้น โดยให้มันเป็นตัวแทนของ "ภูเขา" คือความมั่นคงในตัวเราหายใจเข้าหายใจออก ฉันเป็นดั่งขุนเขาฉันมั่นคง (ขุนเขา/มั่นคง)หากเราปราศจากความมั่นคงหนักแน่นแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะมี ความสุขได้ เพราะเมื่อเราเป็นคนอ่อนไหว เราก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่ง ให้ใครได้ รวมถึงตัวเราเองด้วย ฉะนั้นการภาวนาในเรื่องนี้จึงสำคัญมากสำหรับ ก้อนกรวดก้อนที่ 3 คือตัวแทนของ "น้ำใส" เราจะ ภาวนาว่าหายใจเข้าหายใจออกฉันเป็นดั่งน้ำใสฉันสะท้อนสิ่งต่างๆ ดั่งที่มันเป็น (น้ำนิ่ง/สะท้อน)เมื่อเราโกรธ อิจฉาหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เราไม่สามารถ ที่จะมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เราอาจมีความคิดเห็นที่ผิด และ มีอคติ ต่อสิ่งนั้น การภาวนาเช่นนี้ช่วยบ่มเพาะความนิ่ง ใส ชัดเจน ไม่บิดเบือน ให้แก่ตัวเราก้อนกรวดก้อนสุดท้าย เป็นตัวแทนของ "ความว่าง"หายใจเข้าหายใจออก ฉันเป็นดั่งความว่างฉันเป็นอิสระ (ความว่าง/อิสระ)ความว่างในที่นี้ หมายถึง พื้นที่ว่างในหัวใจและพื้นที่ว่างรายล้อมเรา เมื่อเรารู้สึกเป็นอิสระ เราจะมีพื้นที่มากมายแบ่งปันอยู่อื่น เราจะพร้อมที่จะ ให้พื้นที่กับผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลที่เรารักหลายครั้งความรักของเรามักเป็นกรง ขัง ฉะนั้นเมื่อเรารักใครสักคน เราต้องคอยดูอยู่เสมอว่า เราได้ให้ที่ว่างแก่เขามากพอหรือไม่ อย่าทำให้ ความรักของเธอกลายเป็นกรงขังเมล็ดพันธุ์ในตัวเราในจิตใจของเรามีซับซ้อน ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ เป็น 2 ชั้นคือ จิตสำนึก และ จิตใต้สำนึกจิตสำนึกเป็นดั่งห้องรับแขก จิตใต้สำนึกเป็นดั่งใต้ถุนบ้าน ภายในใต้ถุนบ้านหรือจิตใต้สำนึก มีเมล็ดพันธุ์ของอารมณ์มากมาย ทั้งในแง่ดีและไม่ดี เติบโตผ่านประสบการณ์ การเลี้ยงดู และส่งทอดผ่านบรรพบุรุษอารมณ์นั้นเกิดจากการประกอบของจิต หรือ จิตสังขาร จิตใต้สำนึกจะจดจำสิ่งที่เกิดบนจิตสำนึกได้ เราควรฝึกสติอยู่เสมอ เพื่อที่เมล็ดพันธุ์แห่งสติเข้มแข็ง เมื่ออารมณ์ในแง่ลบ เกิดขึ้น เราก็จะเชื้อเชิญให้เมล็ดพันธุ์แห่งสติขึ้นมาโอบอุ้ม เสมือนแม่ที่อุ้มลูกคนที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และพยายามที่จะกั้นเมล็ดพันธุ์ ที่ไม่พึงพอใจให้ขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก โดยทำสิ่งต่างๆ เช่น หาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ฟังแพลง ดูโทรทัศน์หรือขับรถไปข้างนอก การบริโภคสิ่งต่างๆ ด้วยความไม่มีสติเช่นนี้ รดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความอยาก ความโกรธ ความรุนแรง การบริโภคเช่นนี้ยิ่งทำให้จิตใจ ของเราแย่ขึ้นไปอีกการทำเช่นนี้เป็นการปิดวงจรของจิต ทำให้เกิดความเศร้าซึม โรคจิต หรือ โรคทางกาย สาเหตุที่เราป่วยกาย ส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากเราไม่รู้จักวิธีการดูแลจิตใจ ของเรานี่เองลมหายใจช่วยให้เราสามารถทำให้เราตระหนักรู้ และเอาความปิดกั้นนั้นออก เมื่อเราเกิดอารมณ์เหล่านั้น เราก็สามารถ เชื้อเชิญลมหายใจแห่งสติมาโอบอุ้มความรู้สึกเหล่านั้น เมื่อความโกรธได้อาบน้ำแห่งสติ สภาพแห่งจิตใจของเราจะดีขึ้นพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์แนะนำให้เราฝึกปฏิบัติ เพื่อเป็นการดูแลจิตใต้สำนึกของเรา ดังต่อไปนี้1.บริโภคอย่างมีสติ หลีกเลี่ยงการรดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี2.สร้างพลังแห่งสติให้เข้มแข็ง3.ไม่เก็บกดอารมณ์ของเรา4.อนุญาตให้อารมณ์ของเราขึ้นมา พร้อมโอบรับด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งสติ5.รดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ดีๆ เช่น การฟังบรรยายธรรม บริโภคและสัมผัสสิ่งที่ดีงามประสานรอยร้าว ความกลัวและความรุนแรงในภาคใต้พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย ให้ทุกฝ่ายมาร่วมนั่งพูดจากันอย่างสันติ เพื่อบรรเทาความขัดแย้งและระแวงสงสัยในกันและกัน โดยให้กลุ่มดังกล่าวมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความกลัว ความระแวง สงสัย ความเจ็บปวดต่างๆ พร้อมทั้งต้อง "ฟังอย่างลึกซึ้ง"ท่านแนะนำให้รัฐบาลไทยเชิญผู้มีปัญญาในสังคมทั้งหมด ผู้แทนและเชื้อเชิญทุกฝ่ายในความขัดแย้งนี้มาฟังกันอย่างลึกซึ้ง ด้วยความเมตตากรุณา เพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความโกรธแค้นชิงชังและสงสัยคลางแคลงเพราะอะไร แลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจกันจากการฟังเช่นนี้เอง เราจะตระหนักว่า เราเองก็ได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นกัน เราควรใช้โอกาสนี้ในการขอโทษ และสัญญาว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีก เพื่อสมานไมตรีที่ดีต่อกัน
Dear friends, This content is about Thay Dharma talk 23-27 May 2010 in ThailandThe content is only in Thai language.สรุปบรรยายธรรมและเนื้อหาจากงานภาวนา "สู่ศานติสมานฉันท์" 23-27 พฤษภาคม 2550 ณ ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ล้านนา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดย พรรัตน์ วชิราชัย ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอเรามักจะคิดมากเกินไปตลอดเวลา และส่วนใหญ่มักไม่เป็นประโยชน์นัก ความคิดของเราเต็มไปด้วยความกลัว หงุดหงิด ความโกรธ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องนอน เราไม่สามารถหลับได้ และเรามักหันไปพึ่งยานอนหลับ ความลับที่พระพุทธองค์หยิบยื่นให้เรา คือ "สติ" การกลับมา อยู่กับลมหายใจ และหยุดคิดเกี่ยวกับอดีตหรือนาคตการกลับมาตามลมหายใจเป็นการรวมใจและกายให้เป็นหนึ่งเดียวกันในปัจจุบันขณะ การดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะทำให้เรา สามารถสัมผัส "ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" เพราะชีวิตคือปัจจุบัน การมีสติอยู่เสมอจะทำให้เธอรู้ว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นใน ปัจจุบัน หากเธอคิดมากเกินไปเสมอ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เธอจะไม่มีความสามารถที่จะสัมผัสความงดงาม สดชื่นจากพระอาทิตย์ และธรรมชาติได้เราไม่จำเป็นต้องตายเสียก่อนจึงจะก้าวสู่อาณาจักรของพระพุทธเจ้าได้ หากแต่อยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ เราจะสามารถ สัมผัสกับดินแดนสุขาวดีหรือสรวงสวรรค์ได้ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นเสมอ 24 ชั่วโมง ดินแดนสุขาวดีหรือสรวงสวรรค์อยู่ตรงนั้นเสมอ 24 ชั่วโมงความสุขคือการตรัสรู้ เราไม่มีหนทางแห่งการตรัสรู้ แต่การตรัสรู้คือหนทาง วิถีแห่งการตรัสรู้เริ่มแรกคือ การมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเธอกำลังเดิน นั่ง หรือดื่มชา โปรดรู้ไว้ว่าการตรัสรู้ที่ยิ่งใหญ่มาจากการตรัสรู้เล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบันขณะเราชินที่จะวิ่งอยู่เสมอ เราวิ่งเพราะเรามีความกลัว และเมื่อเราวิ่ง เราไม่สามารถจะดูและตัวเราและคนที่เรารักได้ เราวิ่ง เหมือนดั่งเช่นองคุลีมาล ที่วิ่งตามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์คือตรัสถามองคุลีมารว่า "เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากที่ไม่หยุด" การมาปฏิบัติภาวนาเช่นนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะหยุดภาวนากับก้อนกรวดที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส มีเด็กหลายคนจากหลายประเทศ มาร่วม ฝึกปฏิบัติด้วย วิธีที่พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ สอนการภาวนาให้กับ เด็กๆ คือ "ภาวนากับก้อนกรวด" เป็นวิธีการง่ายๆ ที่มีความสุข เริ่มจากเราควรมีถุงเล็กๆ สำหรับเก็บก้อนกรวด 4 ก้อน เมื่อเราต้องการทำสมาธิภาวนา ให้หยิบถุงนี้ขึ้นมา และนั่งล้อมกันเป็นวงกลม เด็กคนหนึ่งเป็นผู้เชิญระฆัง 3 ครั้ง เพื่อเชื้อเชิญให้เรา กลับมาสู่บ้านที่แท้จริงเมื่อเริ่มภาวนา เราหยิบ ก้อนกรวดก้อนแรก ขึ้นมา ประสานไว้ บนมือ พร้อมให้ก้อนกรวดก้อนนี้เป็นตัวแทนของ "ดอกไม้"หายใจเข้าหายใจออกฉันเป็นดั่งดอกไม้ฉันสดชื่น (ดอกไม้/สดชื่น)การภาวนาเช่นนี้เป็นการฟื้นฟูความสดชื่น แจ่มใส ความเป็นดอกไม้ ในตัวเรามนุษย์เองก็เป็นดอกไม้เช่นกัน เราเป็นดอกไม้แห่งมนุษยชาติ เด็กๆ ก็คือ ดอกไม้ พวกเขามีความสดชื่นอยู่เสมอ เราควรภาวนาดอกไม้ อยู่เสมอ เพราะมันจะช่วยรักษาความสดชื่นให้กับเรา และเราจะมีความ สามารถหยิบยื่นดอกไม้ ให้คนรอบข้างได้หลังจากภาวนาก้อนกรวดก้อนแรกเสร็จ เราวางก้อนกรวดก้อนนี้ลง พร้อมหยิบ ก้อนกรวดก้อนที่สอง ขึ้น โดยให้มันเป็นตัวแทนของ "ภูเขา" คือความมั่นคงในตัวเราหายใจเข้าหายใจออก ฉันเป็นดั่งขุนเขาฉันมั่นคง (ขุนเขา/มั่นคง)หากเราปราศจากความมั่นคงหนักแน่นแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะมี ความสุขได้ เพราะเมื่อเราเป็นคนอ่อนไหว เราก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่ง ให้ใครได้ รวมถึงตัวเราเองด้วย ฉะนั้นการภาวนาในเรื่องนี้จึงสำคัญมากสำหรับ ก้อนกรวดก้อนที่ 3 คือตัวแทนของ "น้ำใส" เราจะ ภาวนาว่าหายใจเข้าหายใจออกฉันเป็นดั่งน้ำใสฉันสะท้อนสิ่งต่างๆ ดั่งที่มันเป็น (น้ำนิ่ง/สะท้อน)เมื่อเราโกรธ อิจฉาหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เราไม่สามารถ ที่จะมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เราอาจมีความคิดเห็นที่ผิด และ มีอคติ ต่อสิ่งนั้น การภาวนาเช่นนี้ช่วยบ่มเพาะความนิ่ง ใส ชัดเจน ไม่บิดเบือน ให้แก่ตัวเราก้อนกรวดก้อนสุดท้าย เป็นตัวแทนของ "ความว่าง"หายใจเข้าหายใจออก ฉันเป็นดั่งความว่างฉันเป็นอิสระ (ความว่าง/อิสระ)ความว่างในที่นี้ หมายถึง พื้นที่ว่างในหัวใจและพื้นที่ว่างรายล้อมเรา เมื่อเรารู้สึกเป็นอิสระ เราจะมีพื้นที่มากมายแบ่งปันอยู่อื่น เราจะพร้อมที่จะ ให้พื้นที่กับผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลที่เรารักหลายครั้งความรักของเรามักเป็นกรง ขัง ฉะนั้นเมื่อเรารักใครสักคน เราต้องคอยดูอยู่เสมอว่า เราได้ให้ที่ว่างแก่เขามากพอหรือไม่ อย่าทำให้ ความรักของเธอกลายเป็นกรงขังเมล็ดพันธุ์ในตัวเราในจิตใจของเรามีซับซ้อน ซึ่งแบ่งได้คร่าวๆ เป็น 2 ชั้นคือ จิตสำนึก และ จิตใต้สำนึกจิตสำนึกเป็นดั่งห้องรับแขก จิตใต้สำนึกเป็นดั่งใต้ถุนบ้าน ภายในใต้ถุนบ้านหรือจิตใต้สำนึก มีเมล็ดพันธุ์ของอารมณ์มากมาย ทั้งในแง่ดีและไม่ดี เติบโตผ่านประสบการณ์ การเลี้ยงดู และส่งทอดผ่านบรรพบุรุษอารมณ์นั้นเกิดจากการประกอบของจิต หรือ จิตสังขาร จิตใต้สำนึกจะจดจำสิ่งที่เกิดบนจิตสำนึกได้ เราควรฝึกสติอยู่เสมอ เพื่อที่เมล็ดพันธุ์แห่งสติเข้มแข็ง เมื่ออารมณ์ในแง่ลบ เกิดขึ้น เราก็จะเชื้อเชิญให้เมล็ดพันธุ์แห่งสติขึ้นมาโอบอุ้ม เสมือนแม่ที่อุ้มลูกคนที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และพยายามที่จะกั้นเมล็ดพันธุ์ ที่ไม่พึงพอใจให้ขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก โดยทำสิ่งต่างๆ เช่น หาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ฟังแพลง ดูโทรทัศน์หรือขับรถไปข้างนอก การบริโภคสิ่งต่างๆ ด้วยความไม่มีสติเช่นนี้ รดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความอยาก ความโกรธ ความรุนแรง การบริโภคเช่นนี้ยิ่งทำให้จิตใจ ของเราแย่ขึ้นไปอีกการทำเช่นนี้เป็นการปิดวงจรของจิต ทำให้เกิดความเศร้าซึม โรคจิต หรือ โรคทางกาย สาเหตุที่เราป่วยกาย ส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากเราไม่รู้จักวิธีการดูแลจิตใจ ของเรานี่เองลมหายใจช่วยให้เราสามารถทำให้เราตระหนักรู้ และเอาความปิดกั้นนั้นออก เมื่อเราเกิดอารมณ์เหล่านั้น เราก็สามารถ เชื้อเชิญลมหายใจแห่งสติมาโอบอุ้มความรู้สึกเหล่านั้น เมื่อความโกรธได้อาบน้ำแห่งสติ สภาพแห่งจิตใจของเราจะดีขึ้นพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์แนะนำให้เราฝึกปฏิบัติ เพื่อเป็นการดูแลจิตใต้สำนึกของเรา ดังต่อไปนี้1.บริโภคอย่างมีสติ หลีกเลี่ยงการรดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี2.สร้างพลังแห่งสติให้เข้มแข็ง3.ไม่เก็บกดอารมณ์ของเรา4.อนุญาตให้อารมณ์ของเราขึ้นมา พร้อมโอบรับด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งสติ5.รดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ดีๆ เช่น การฟังบรรยายธรรม บริโภคและสัมผัสสิ่งที่ดีงามประสานรอยร้าว ความกลัวและความรุนแรงในภาคใต้พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย ให้ทุกฝ่ายมาร่วมนั่งพูดจากันอย่างสันติ เพื่อบรรเทาความขัดแย้งและระแวงสงสัยในกันและกัน โดยให้กลุ่มดังกล่าวมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความกลัว ความระแวง สงสัย ความเจ็บปวดต่างๆ พร้อมทั้งต้อง "ฟังอย่างลึกซึ้ง"ท่านแนะนำให้รัฐบาลไทยเชิญผู้มีปัญญาในสังคมทั้งหมด ผู้แทนและเชื้อเชิญทุกฝ่ายในความขัดแย้งนี้มาฟังกันอย่างลึกซึ้ง ด้วยความเมตตากรุณา เพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความโกรธแค้นชิงชังและสงสัยคลางแคลงเพราะอะไร แลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจกันจากการฟังเช่นนี้เอง เราจะตระหนักว่า เราเองก็ได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นกัน เราควรใช้โอกาสนี้ในการขอโทษ และสัญญาว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีก เพื่อสมานไมตรีที่ดีต่อกัน